Saturday, December 19, 2009

สำรวจ อดีต….เรียนรู้จาก (Tornado 1)

สำรวจ อดีต. ….เรียนรู้จาก (Tornado 1)

                นั่งทบทวนความหลัง ..อันแสนหอมหวน เพราะเรื่องราวในอดีตยังตามมาวนเวียนกระเป๋า สตางค์อยู่ และเป็นการตัดสินใจว่าน่าเขียนถึงอดีตก่อนที่จะพูดถึงการลงทุน  เพราะผมว่า ผมควรย้อยมาดูข้อ ผิดพลาดของตัวเองกับการแก้ไข ก่อนดีกว่า เพราะจะได้วัดความเปลี่ยนแปลงได้ และชีวิตไม่ได้มีด้านสว่าง ด้านเดียวทุกคนมีด้านมืด ของตัวเอง แต่ใครจะยอมรับและปรับปรุงแก้ไข สำเร็จหรือไม่สำเร็จก็อีกเรื่อง

                โดยส่วนตัวเติบโตมาด้วยการเลี้ยงดูแบบตามใจ .. รสนิยมสูง รายได้ต่ำ จำได้เลยว่า ตอน 9 ขวบ ขอ พ่อไปกินข้าวผัดในโรงแรม แทนที่จะกินร้านหน้าปากซอย ตั้งแต่นั้นมา จะโดนแซวตลอด การใช้เงินไม่ต้องพูดถึงไม่คิดว่าเงินจะหมดหรือจะขาด แต่จริงๆแล้วไม่มีให้ใช้แบบลูกเศรษฐี แต่ทำตัวคล้ายๆๆ และแล้วเมื่อพายุ จากหลายๆ เรื่อง หลายๆลูก รวมกันเป็น Tornado นับตั้งแต่ รถยนต์สุดหรู นาฬิกาสุดเทห์ สถานที่เที่ยวสุด Hip ร้านอาหาร สุดโรแมนติ มือถือใหม่ตลอดๆ คอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ตุ๊กตาสุดสวยและแสนดี (เพราะผมซ่าส์เอง) แค่กล่าวมาแค่นี้ก็พอจะเดาออกนะครับ ว่า Tornado ลูกแรกจะน่ากลัวขนาดไหน ……

                Tornado ลูกแรกมาด้วยความแรงระดับ 1.5 ล้าน นี่เฉพาะในส่วนที่เหลือจากกากพัดผ่าน ไม่รวมสิ่งของมีค่า และเงินสดที่ถืออยู่ ผมก็ยังงงว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร ทั้งๆๆ ที่เรามี Radar ตรวจจับอยู่กับบ้านแล้ว เข้าใจว่าผมไม่ยอมฟัง Radar นั้นเอง นี่เป็นเหตุการณ์ ประมาณ 6 ปี มาแล้ว วันนี้ ผมจึงไม่โทษใครทั้งนั้น แต่ผมไม่อยากลืม เพราะวันนี้ ผมคิดเอาเองว่าผมเปลี่ยนไป (ไม่รู้ว่าเปลี่ยนไปจริงหรือเปล่า) เพราะผมมีความคิดใหม่ ความเข้าใจในความจริง และแรงจูงใจ จาก นางฟ้าของผม และอีกอย่างคือ ผมเจอ บทเรียนจาก Tornado ครั้งที่ สอง เมื่อ ปี 2550 ผมไม่แน่ใจว่า ผมโดย Tornado ลูกนี่คนเดียวหรือเปล่า แต่นึกอีกที น่าจะโดดกันทั่วประเทศครับ แต่เท่าที่ดูจากประสบการณ์ผมไม่น่าจะพลาดเสียหายจากลูกที่ สอง อีก แต่ก็พลาดเพราะมีปัจจัยอื่นในองค์ประกอบชีวิต เลยทำให้ไม่อด เอาว่าจะเปิดเผยให้หมด เผื่อคนอื่นๆจะได้ไม่เดินตาม บางทีคุณไม่จำเป็นต้องเดินตามไปดูถึง ตาพายุ ของ Tornado ก็ได้ ดูใน Discovery Channel ก็ พอ และผมต้องการ เตือนตัวเองให้เข้าไปในระดับ เซลล์ของร่างกาย เพื่อสร้าง Radar เตือนภัยเป็นของตัวเองสักที สร้างมาตลอดชีวิต ไม่เสร็จสักที และไม่อยากเป็นชายที่ได้ชื่อว่า พลาด  3 ครั้ง หรือ บวช 3 ที ก็ยังผิดอยู่ และข้อที่ผิดพลาดที่ผมพบก็คือ ใจ ของผมนั้นเอง เพราะผมหาใจตัวเองไม่เจอ ผมก็เลยไม่สุข ผมไปทะเลบ่อย ผมเลยให้ใจออกทะเลซะเลย ใจเลยไม่ยอมกลับฝั่งสักที  ชอบมากครับ เพลง ทะเลใจ …..

                ถ้าเราหาใจตัวเองไม่พบเราก็จะไม่พบความสุขที่แท้จริง เพราะผมลองมาหมดแล้วครับ สุขทางสัมผัส ทาง หู ทาง ตา ทาง จมูก ทาง กาย ทาง ลิ้น ทางใจ ท่าน ว บอกว่า เคยได้ยินเรื่องตามใจไหม คำว่าตามใจนี่ ถ้าตามใจแบบโง่ ๆ คือ ใจมันอยากแล้วตามมันหมดเลยนี่ คือตามใจแบบ โง่ๆ และแล้วมันก็ทำให้ชีวิตผม โง่ไปเลย แต่ไม่เป็นไรครับ เรายัง ตั้งหลักใหม่ได้ ตราบเท่าที่มีลมหายใจ และกำลังใจ  และแรงจูงใจ จากนางฟ้า แต่ผมก็ไม่มั่นใจนะครับ ว่า นางฟ้า ของผม เค้าจะยังยอมเป็น แรงจูงใจ ให้หรือเปล่า เพราะ ผู้ชายอะไร พลาดได้ตั้ง สอง ครั้ง แต่มันคือความจริงครับ ขนาดผู้ใหญ่ หลายคนอย่าง ปรามาศ ผม หยักคิ้ว ใส่ มองด้วยหางตา  ทำงั้นได้ ครับไม่ว่าอะไร จะได้เป็นแรงผลักส่งให้กับผม และ  สิ่งที่เกิดขึ้นแล้ว ดีเสมอครับ ..ชีวิต มีวันใหม่เสมอ

                แต่ยังไงความจริงก็คือความจริง ปัญหามีไว้แก้ไม่ได้มีไว้แบก ผมต้องนำสายตาดูมิ่น ดูแคลน และคำพูดต่างๆมาเป็นพลัง ในการกลับมา I shall retune และในการ Turn ครั้งนี้ต้องขอบคุณ นางฟ้า ของผมไว้ มากที่สุด เพราะ ถ้าไม่มีคุณผมคงไม่มีวันนี้ ถึงจะดูไม่มีอะไรมากมายก็ตาม แค่ได้เจอ ก็สุขใจ แค่ได้คิดถึงก็มีพลัง แล้วครับ Tornado ลูกแรก แก้ด้วย แรงจูงใจจาก นางฟ้า เพราะต้องสำเร็จ เราถึงจะกล้าออกไปยืนเคียงข้างเธอ ตอนนี้อาจจะต้องต่อให้คนอื่นไปหลาย กิโลก่อน แต่ผมมีความเชื่อ ว่ายังไง นางฟ้า ก็ยืนข้างผม และเครื่องผมแรงอยู่แล้ว เดี๋ยวก็ตามทัน  และ เพลง ทะเลใจ ก็ช่วยได้เยอะครับ (หาใจให้เจอก็เป็นสุข)  และความสำเร็จแรกที่มอบให้ The Angel คือ การลดน้ำหนักได้ 10 กก และกำลังจะลดให้ได้อีก 5 กก 

ทะเลใจ ศิลปิน ยืนยง โอภากุล  

http://www.youtube.com/watch?v=82a6x5-ynfQ

แม้ชีวิตได้ผ่านเลย

วัยแห่งความฝัน

วันที่ผ่านมาไร้จุดหมาย

ฉันเรียนรู้เพื่ออยู่

เพียงตัวและจิตใจ

เป็นมิตรแท้ที่ดีต่อกัน

เหมือนชีวิตผันผ่าน

คืนวันอันเปลี่ยวเหงา

ตัวเป็นของเรา ใจเป็นของใคร

มีชีวิตเพื่อสู้คืนวันอันโหดร้าย

คืนที่ตัวกับใจไม่ตรงกัน

คืนนั้นคืนไหนใจแพ้ตัว

คืนและวันอันน่ากลัว ตัวแพ้ใจ

ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์

อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น

คืนนั้นคืนไหนใจเพ้อฝัน

คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก

ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก

พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ

ทุกชีวิตดิ้นรนค้นหาแต่จุดหมาย

ใจในร่างกายกลับไม่เจอ

ทุกข์ที่เกิดซ้ำ

เพราะใจนำพร่ำเพ้อ

หาหัวใจให้เจอก็เป็นสุข

คืนนั้นคืนไหนใจแพ้ตัว

คืนและวันอันน่ากลัว ตัวแพ้ใจ

ท่ามกลางแสงสีศิวิไลซ์

อาจหลงทางไปไม่ยากเย็น

คืนนั้นคืนไหนใจเพ้อฝัน

คืนและวันฝันไปไกลลิบโลก

ดั่งนกน้อยลิ่วล่องลอยแรงลมโบก

พออับโชคตกลงกลางทะเลใจ

 

 

 

 

 

 

 

Wednesday, December 16, 2009

ตามหา. .เบี้ย ในบ้าน

ตามหา .เบี้ย ในบ้าน

                ใกล้สิ้นปีแล้ว อย่าลืมซื้อ กองทุน เพื่อลดย่อนภาษีนะครับ LTF หรือ RMF ก็ได้ ซื้อน้อยซื้อมาก แล้วแต่กำลังครับ ส่วนผมก็ตามเก็บเบี้ย ในกระปุก และตามซอกโต๊ะ ตามลิ้นชัก และแถบไม่น่าเชื่อนะครับ ว่าผมมีกระปุก ซึ่งมีเบี้ยอยู่เต็มกระปุก เลย สองกระปุก แอบอยู่ในตู้เสื้อผ้า และตามโต๊ะ ตามตู้ อีก หนึ่ง กอง  จึงไม่ลังเลเลยครับ ที่จะจัดการ กระปุก แม้จะเสียดาย กระปุกอยู่บ้าง แต่จากการได้ พบข้อความ "Make Money work for you Instead of You Working for IT"  เลยเจอะเจอแรงบันดาลใจ บวกกับมีแรงจูงใจ เป็นทุนในการกระตุ้น ที่ว่าจะต้อง Early retire ภายใน 5 ปีให้ได้   ก็เลยเข้าใจเลยว่า เราไปขังผู้ช่วยของเราไว้ในกระปุกอันแสนหวาน  เป็นเวลานานแสนนาน จะไม่นาน ได้ยังงัย เพราะ  เบี้ย บางอัน แบงค์ชาติ เค้าเรียกคืนกลับคลังไปหมดแล้ว เผลอๆไปตลาด แม่ค้าเค้าคงไม่รับ ด้วยมั่ง

              ผมก็ค่อยๆวาง เบี้ย บนโต๊ะทั้งหมด ต้องค่อยๆ วาง เพราะ โต๊ะเป็นกระจก เดี๋ยวกระจกจะแตก .. จากนั้น ก็ตั้งเบี้ยเป็น กอง เหมือนวาง บนโต๊ะ คาสิโน (ไม่เคยไปนะครับ แต่เคยเห็นใน หนัง) หลังจาก ใช้เวลาการเรียงไปกว่าชั่วโมง ก็ได้ กอง เหรียญเต็มโต๊ะ ทั้ง 1 บาท 5 บาท 10 บาท และก็ 50 สตางค์ และก็เริ่มแยกเหรียญใส่ถุงพลาสติก (ถุงแกง) ทำไมต้องใส่ถุงแกงหรือครับ เพราะเราจะได้แยกเป็น ถุง ถุงละ ร้อย จะได้สะดวกในการจัดการและนำไปแลก ให้ข้อมูลการแลกเหรียญไว้ครับ เท่าที่ ทราบ ห้างโลตัสรับแลกนะครับ แต่ต้องรอเค้านับ โดยเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย แต่ถ้าแลกกับ แบงค์ เหมือนมีคนบอกว่าเค้าจะคิดค่าแลกด้วย ก็ลองถามดูก่อนนะครับก่อนแลก ส่วนผมสบายครับ เพราะมีญาติเปิดร้านอาหาร เอาไปเท่าไรแค่บอกจำนวน ก็เปลี่ยนเป็นแบงค์กลับมาทันที ไม่ต้องนับ เพราะญาติ เค้าเชื่อใจ เพราะเราเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ไว้ใจได้ อนาคตไกล (ไกลผู้ไกลคน)

                ไม่น่าเชื่อ เบี้ย หรือเหรียญ ที่เราได้รับคืนเวลาซื้อของจาก ร้าน Seven-Eleven ที่พอกลับมาบ้านหรือมาที่โต๊ะทำงานเราก็จะควักออกมาใส่ช่องเก็บ เหรียญ (เพราะหนัก แล้วมีเสียงกุ๊งกริ๊ง เสียภาพนายแบบ หมด) แต่พอมากองรวมกัน ผมนับได้ทั้งหมด เกือบ สามพันเจ็ดร้อยบาท ไม่น้อยเลยนะครับ คราวนี้มาดูว่า เงิน หรือ เหรียญ ของเรา จะช่วยเราทำงานได้ อย่างไร

                สมมุติว่า ผม เสียภาษีเงินได้ อยู่ที่ 10 % ต่อปี ผมนำเงินที่ผมได้จากการตามเก็บในบ้านของผมเอง ไปซื้อ LTF ทั้งหมด 3,700 บาท ผมจะได้ส่วนเครดิตภาษี 370 บาท เท่ากลับผมมีเงิน ทั้งหมด 3,700 + 370 = 4,070 บาท เห็นความต่างไหมครับ ถ้าผมขังเงินผมไว้ในกระปุก มันเหมือนจะมีค่าเท่ากับ 0 เลยนะครับ เพราะเราไม่สนใจ   แต่จะให้ดี เราไปเปิดบัญชีธนาคารเพิ่มกันอีก หนึ่งบัญชีดีกว่า เอาไว้สะสม ค่าแรง หรือผลตอบแทน ของ เงิน ที่เราให้เค้าช่วยทำงาน ระหว่างที่ยังไม่เป็นกอบเป็นกำ พอครบ 3,000 เราก็นำไปซื้อ เพิ่มอีก แต่บางกองทุน 1,000 ก็น่าจะได้ และจะได้ความรู้สึกดีๆว่า เราสามารถทำเงินจากทางอื่นได้อีก ของบางอย่างต้องสัมผัสด้วยตา แล้วใจเราจะได้เชื่อและเห็นคุณค่าของ ของชิ้นนั้น และเราควรไปสมัคร ใช้งานการซื้อกองทุน ผ่าน Internet จะสะดวกมาก  เห็นไหมว่าผมเริ่มมีอนาคต ขึ้นมาแล้วนะครับ และมาค่อยติดตามกันว่า ผม จะ Early retire ได้ไหม แต่คงต้องรอกันยาวเหมือนกัน นะครับ แต่หนทางอันยาวไกล ต้องมีก้าวแรก เสมอ  แต่ผมมีแรงจูงใจเต็มเปี่ยมเพราะผมมีนางฟ้าที่รอผมอยู่

     "อย่านอนตื่นสาย อย่าอายทำกิน อย่าหมิ่นเงินน้อย อย่าคอยวาสนา "ผมรู้สึกว่า ผมจะมีอยู่ครบเลย แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว เพราะผมมี แรงจูงใจ ราวกลับ เครื่องบิน มาคอยพยุงให้ผม สู้ตลอด อยากมีแรงจูงใจต้องหานะครับ ...........

                 

 

Saturday, December 12, 2009

ชีวิต คือการลงทุน (ตอนทานข้าว)

ชีวิต คือการลงทุน (ตอนทานข้าว)

ทุกชีวิตในโลกอยากได้อะไร ต้องลงทุน หรือไม่ก็ต้อง ลงแรง ขนาดทานข้าวยังต้องลงทุนเขี้ยวอาหารให้ละเอียด เลยครับ เพราะถ้ากลืนเลย มีหวังได้ใช้ยาลดกรดช่วย แน่ พอพูดถึงเรื่องทานข้าวก็เลยอยากจะแชร์ หน่อยครับ จาก หมอแดง เพราะปกติจะเป็นคนทานข้าวคำน้ำคำมาตลอด เพราะลื่นคอดี ตามร้านอาหารก็ขยันเติมน้ำกันจัง พอพร่องหน่อยก็เติมจนเต็มแก้ว เราก็เพลินเลย แต่ก็มีปัญหาเกี่ยวกับกรดในกระเพาะอาหารมาตลอด แต่ไม่ได้สนใจ เพราะแก้ไขได้ แต่ได้อ่านหนังสือใครไม่ป่วยยกมือขึ้น ก็ได้ความรู้ไหม่ ไม่รู้ว่าความรู้ใหม่หรือเปล่านะครับ แต่เป็นการทำให้ได้ตระหนัก เรื่องการทานข้าวคำน้ำคำ หมอแดงแนะนำว่า ก่อนทานข้าวครึ่งชั่วโมงไม่ควรดื่มน้ำเยอะ ควรจิบๆๆ พวกคอสุรา คงจะรู้นะครับว่า จิบๆๆ เป็นอย่างไร และช่วงเวลาทานข้าวไม่ควรทานน้ำ และหลังทานข้าวครึ่งชั่วโมงค่อยทานน้ำได้ เพราะถ้าทานน้ำเยอะจะทำให้ระบบการย่อย มีประสิทธิภาพด้อยลงนะครับ แต่สำหรับคนที่ อายุน้อยๆ อาจจะไม่เป็นผล แต่ถ้าทำไปเลย อาจจะมีปัญหาในระยะยาวได้นะครับ สำหรับผมเคยรู้มานาน พ่อเตือนก็ไม่ฟัง เพราะเป็นพวกดื้อ ที่จริงไมใช่ดื้อหรอกครับ เพราะเป็นคนทานไวเลยใช้น้ำเป็น น้ำมันหล่อลื่นให้คอ และหลอดอาหาร พอตักข้าวเข้าปาก ก็เคี้ยวอยู่ ไม่นาน เพราะไม่เคยเคี้ยวเอื้อ เพราะไม่เคยกินหญ้าอ่อน เลยต้องใช้น้ำช่วย ผลลัพธ์ก็คือ กลายเป็นนิสัยทำเรื่อย มา วันใดขาดน้ำบนโต๊ะอาหาร ผมจะนึกถึงเพลงว่า วันใดเธอขาดฉัน แล้วเธอจะรู้สึก เพราะว่าอาหารจะติดคอ สะอึก

แต่สุดท้าย ผมก็ยอมลงทุน เพราะผมเข้าใจว่า ชีวิตจะเปลี่ยนอะไรต้องลงทุนลงแรง เพราะมันจะต้องเป็นสิ่งที่เราไม่ชอบแน่ เพราะฝืนทน แต่ต้องอดทน และทำใจดี สู้เสือไว้ ไม่งันไม่มีทางเปลี่ยน เพราะความเคยชิน ตอกเสาเข็มไว้ สะจน ถอดไม่ขึ้น จึงเริ่มตนด้วยการ ดื่มน้ำ ให้น้อยลงตอนทานข้าว แต่ระหว่างวัน ก็ต้องพยายาม มีแก้วน้ำอยู่ที่โต๊ะทำงานนะครับเพราะจะได้ จิบบ่อย ๆ แต่ดีครับจะได้นั่งเคลิ้มทั้งวัน เพราะจิบทั้งวัน เหมือนนั่งอยู่ในผับ แต่เราจำเป้นต้องเปลี่ยนวิธีดื่มน้ำใหม่ ครับ เพราะไม่อย่างนั้นเราจะขาดน้ำ เพราะโดยเฉลี่ย เราจะทานน้ำเยอะตอน หลังทานข้าว เคล็ดลับการทานน้ำ หมอแดง แนะนำไว้ว่า

ถ้าน้ำหนัก 45 กก

((45 x 2.2) /2) x 30 = 1480 cc = 1.48 lit โดยถั่วไปแก้วน้ำ 1 แก้วจะประมาณ 200 cc โดยประมาณสำหรับคนน้ำหนัก 45 kg ควรทานน้ำ 7.5 แก้ว สบายมากนะครับ เพราะนั่นคือทั้งวัน

50 = 8 แก้ว

55 = 9 แก้ว

60 = 10 แก้ว

70 = 11.5 แก้ว

มึงอะ! (คุณ) คิดวน

มึงอะ! (คุณ) คิดวน

ช่วงนี้เป็นช่วงที่ผมได้อยู่กับตัวเองค่อยข้างมาก ไม่ใช่ทำงานน้อยลงนะครับงานมากขึ้นด้วย แต่ ผมเริ่มบริหารเวลาและความคิดได้ดีขึ้นทั้งที่ ยุ่งและวุ่นมากกว่าเดิมด้วย และยังได้มีเวลาเติมความรู้เข้าสมองมากขึ้นจากการอ่าน เลยกลายเป็นคนมีสาระขึ้น โดยปริยาย เพราะโดยปกติจะลอย ละลองไปวันๆ คิดจะทำอะไรใหม่ๆก็จะมีพลัง และ กำลังใจดี เป็นพักๆ แต่สักพัก ก็หมดเอาดื้อๆ เลย ข้อนี้พยายาม หาทางแก้มาหลายครั้ง ก็ไม่พบเคล็ดลับสักที สุดท้าย ก็นึกถึงคำ ของพูดของผู้ใหญ่ ท่านหนึ่ง ซึ่งเป็นทั้งหัวหน้า และผู้มีพระคุณ มากๆ ทั้งแรงบรรดาใจและ คำพูด มีอยู่ครั้งหนึ่ง ผมประสบปัญหาในการดำเนินชีวิต สะดุด หกล้มอย่างแรง ..แต่เป็นเป็นการสะดุด ขาตัวเอง (ครั้งแรก) .…เพราะอะไรหรือครับ ก็เพราะเป็นเพราะความคิดของเราเองนี่ละครับ แล้วจะอ้างเหตุผล โทษคนอื่น ก็คงจะรอดไปวันๆ แต่สุดท้ายก็คงหลอกตัวเองไม่ได้ แน่ครับ และคำพูดของท่านผู้นั้นทำให้ผมได้ตาสว่าง คือคำว่า "มึงคิดวน" แกใช้คำว่ามึงเลยนะครับ ผมไม่รู้ว่าแก เห็นผมสนิทหรือ ต้องการให้ผมจำให้ขึ้นใจกันแน่ แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะจริงวันนั้นแกพูดเยอะครับ แต่จำไม่ได้ แต่ประโยคนี้จำได้ และแค่ประโยค เดียวนี่ละครับ ชีวิตผมก็เริ่มพลิกแล้วครับ เอ๊ะทำไมพลิกไว ก็เพราะเป็นคนตัวอ่อนนั้นเองครับ ..(ล้อเล่น)

บางครั้งเวลาเราคิดอะไร เราชอบจะคิดให้รอบครอบ เพราะไอ้ความที่อยากจะรอบครอบนี้เละครับ ไม่เลยไม่มีทางออก ซะอย่างนั้น ก็เลยเป็นการคิดวนติดกับความคิดนั้นเอง คิดแล้วไม่มีทางออก คิดแล้วไม่มีการสรุป ก็เลยเป็นคิดวน การแก้ไขก็ไม่ยากครับ ก็แค่เดินให้มันกลางๆหน่อย เวลาคิดอะไร แล้วก็ตัดสินใจไป และก็ยอมรับผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น อย่างฉลาดทำใจ แค่นี้ชีวิตก็โล่ขึ้นเยอะเลยครับ และโลกก็จะเป็นของเราทั้งใบ แต่ต้องเป็นในทางสร้างสรรค์ อะไรที่ทำให้เรารู้สึกว่าแย่และก็ทำร้ายคนอื่นก็ต้องรอบครอบมากๆ นะครับ ก็อย่างไปทำ แต่ในความคิดผม อะไรที่ทำให้เราแย่นั้น มันอาจจะไม่แย่จริงก็ได้นะครับ เพราะ ทุกอย่างมีดีในเสีย มีเสียในดีเสมอ เราอาจจะนำความรู้สึกแย่ มาเสริมเป็นแรงบันดาลใจกันต่อก็ได้นะครับ เพราะขนาดขยะยังรีไซเคิลได้ น้ำเน่าเสีย ยังนำมาบัดใช้ใหม่ได้เลย ..แล้วความรู้สึกแย่จะไม่มีดีเลยหรือครับ ….ทำไม ไม่รู้ว่า ช่วงนี้ถึงได้ความคิดบวกได้เยอะ ซะขนาดนี้ อาจเป็นเพราะว่าผมเข้าใจชีวิตมากขึ้น ทุกเรื่องมีช่องว่างให้ดิ้นออกหมด ถ้าเราคิดเป็น สุดท้ายสำคัญที่ใจและแรงจูงใจ ครับ เพราะที่ไม่ได้ post มานานแล้วก็เพราะแรงจูงใจ หมดนี่เองครับ

สาว…ทาง โทรศัพท์ และ การแยกทางกับน้ำปั่น…

สาวทาง โทรศัพท์ และ การแยกทางกับน้ำปั่น

                หลังจากที่ปฏิเสธ การรับสาย .สาวสวย แต่ไม่เคยพบหน้า เพราะได้ยินแต่เสียง ทางโทรศัพท์ มาหลายครั้ง ด้วยเหตุผลว่า ไม่ว่าง ยังไม่สะดวก ติดประชุม ทั้งที่ 6 โมงเย็นแล้ว ไม่รู้ว่า ท่านจะติดประชุมอะไร กันนัก กันหนา เลยตัดสินใจว่าเราน่าจะคุยกับเธอสักครั้ง หลังจากเธอตามตื้ออยู่นาน ตั้งสติว่าจะไม่ใจอ่อนยอมเธอแน่

                ด้วยความที่ทุกครั้งที่เธอโทรมา ไม่ได้ตั้งใจฟังเธอสักเท่าไร พอถามว่าโทรจากไหน แค่เธอบอกว่าจาก….ผมก็อยากจะรีบหนีแล้ว ชื่ออะไรไม่น่าฟัง มีแต่เสียตังค์ แต่ครั้งนี้ได้ตั้งใจฟังเธอ และแลกเปลี่ยนข้อมูล ก็พบว่า สิ่งที่ผมคิดว่าผมเข้าใจ แต่จริงแล้ว ผมแค่คิดว่าเข้าใจ แต่ผมไม่ใส่ใจและไม่สนใจเลย สิ่งที่เธอและคนในวงการของเธอใช้กันบ่อย คือ คุณแค่สละ เงินวันละ 45 บาท แล้วตามด้วย..น้อยมากนะ คะ สำหรับท่านเพื่อ อนาคตของ คนที่คุณรัก และตัวคุณเอง พอได้ฟังก็ปฏิเสธทันควัน ด้วยความที่เป็นคนไว..ไวแต่มือ……..

                ใช่เงิน 45 บาทต่อวัน นั้นไม่มากสำหรับผม แต่ผมก็ไม่อยากเสียเงิน ไปให้เค้าทุกวัน หรือ เดือนละ 1,350 บาท เพราะเท่าที่ฟังเค้าบอก ผมคิดว่า (แค่คิด) สามารถ ลงทุนได้เองซึ่งก็น่าจะได้ผลตอบแทนที่มากว่า ทางบริษัทของเธอ จะให้ผม เลยบอกว่า ผมทำผลตอบแทนได้มากว่า เธอก็เงียบ แล้วก็ต่อด้วย..เหตุผลของเธอ..และ บทพูดของเธอ ..ผมเลยตัดบทไปคุยเรื่องอื่นดีกว่า แต่น้องเค้า..ความพยายามไม่ลดละ ตื้อต่อ น้องถามว่า ปกติพี่ ดื่มกาแฟ วันละ กี่แก้ว ผมก็บอกว่าไม่ดื่ม ….แต่ดื่ม น้ำปั่นแทน พอพูดเสร็จ สมองก็บอกว่า น้ำปั่นที่ผมดื่ม แก้วละ 145 บาท ดื่ม สัปดาห์ ละ 3 แก้ว เป็นค่าใช้จ่ายเดือนละ (3*145)4= 1,740 บาท 

และ 1 ปี จะเท่ากับ 20,880 บาท …. เห็นยอดเงินแล้ว ต้องขอบคุณ..ในความอดทนของเธอในการโทรตามตื้อทำให้ผมได้เห็นค่าใช้จ่ายที่บางครั้งผมคิดว่าไม่มาก แต่ทีจริงแล้วมากอยู่ เพราะเมื่อเทียบกับช่องทางของรายได้ กับ จำนวนรายได้ และเงินออมอันน้อยนิดของผม ไม่รวมหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (บัตรเครดิต)

                สรุปคือผมจะลดความสุขทางลิ้นลง โดยการไม่กินน้ำปั่น 3 วัน ต่อ สัปดาห์ แต่อาจจะมีทานบ้างเพราะเดียวจะไม่ได้เจอหน้าน้องคนขายน้ำปั่น เพราะน้องเค้าน่ารัก…..และสุดท้ายผมก็ต้องแพ้ลูกตื้อของเธอ  โดยต้องยอมเธอ โดย จ่ายเดือนละ 1,350 บาท แต่เงินที่จ่าย นั้นนำมาหักภาษีได้ 10% เท่ากับว่าเราจ่ายเดือนละ 1,080 บาท เท่ากับประหยัดไปอีก 135 บาท แล้วกว่าจะได้คืนก็อีกหลายปี แต่ถ้าเปรียบกับผม กินน้ำปั่น ก็คงจะดีกว่าเพราะเงินยังเหลือครบด้วย….